หลังจากโฆษณาไอศกรีมยี่ห้อดังเลือกเอานางแบบลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลีใต้ อายุ 11 ปีอย่าง เอลล่า กรอสส์ มาแสดง และออกอากาศทางทีวีนั้น ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กในหมู่ชาวเกาหลีอย่างหนักถึงความเหมาะสมของท่าทางการแสดง ว่าดูมีความยั่วยวนเกินเด็ก แถมยังถูกมองว่าสอดแทรกสัญลักษณ์เกี่ยวกับเรื่องเพศด้วย ขณะที่หลายๆ ฝ่ายก็ยังงุนงงว่าโฆษณาดูยั่วยวนอย่างไร
โดยกระแสดราม่านี้กดดันทำให้ไอศกรีมชื่อดังตัดสินใจยุติการเผยแพร่โฆษณาดังกล่าวทางโทรทัศน์ พร้อมอธิบายว่า
การแต่งหน้าและแต่งตัวของเอลล่า ก็เป็นเช่นนางแบบเด็กทั่วไป อีกทั้งชุดเสื้อผ้าที่เธอใส่ก็มาจากแบรนด์ของเด็ก
ขณะที่แม่ของนางแบบก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความทางอินสตาแกรมของลูกสาวที่มียอดฟอลโล่ถึง 3.2 ล้านคนว่า ‘โปรเจ็กต์ล่าสุดที่เอลล่าร่วมงานกับ…เกาหลีนี้ เรามองว่ามันเป็นโฆษณาที่สนุกด้วยความสัตย์จริง สื่อสารถึงไอศครีมรสใหม่ แต่คนกลับมองว่ามันเป็นโฆษณาที่น่าขยะแขยง’
‘ในฐานะแม่ ที่ยอมตายแทนลูกสาวได้ ดิฉันขอยืนยันว่า เอลล่า คือเด็กสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เธอไม่เคยทำอะไร เพราะมีเจตนาไม่ดี เธออ่อนหวาน เธอมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน และติดดินที่สุด เท่าที่คุณจะนึกได้’
นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ‘สำหรับคนที่บอกให้แบนโฆษณานี้ และบอกว่าทำเพื่อเอลล่า คุณอย่าพูดแบบนั้นเลย เพราะในฐานะแม่ ดิฉันระมัดระวังทุกอย่างอยู่แล้ว’
หลังจากเรื่องนี้เป็นกระแสขึ้นมาและแม่ของเอลล่าออกมาโพสต์ ทำให้แฟนคลับเอลล่าและสื่อมวลหลายสำนัก เข้าไปดูโฆษณาดังกล่าว ซึ่งต่างงุนงงว่าโฆษณาส่อไปใหทางเพศอย่างไร
พ่อฆ่าลูกสาว – วันที่ 8 ก.ค. เว็บไซต์ kyodonews รายงานเหตุสะเทือนขวัญชาวญี่ปุ่น ตำรวจพบศพอิบุกิ คิซู นักศึกษาหญิงวัย 18 ปีถูกยัดตู้เย็นในร้านขายขนม โตเกียว ซึ่งพ่อของเธอเป็นเจ้าของ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ตามร่างกายพบเพียงบาดแผลบริเวณคอในลักษณะถูกกดรัด ส่วนผู้เป็นพ่อ ฮิเดกิ คิซู อายุ 43 ปี ได้โทรบอกกับสมาชิกในครอบครัวเมื่อวันเสาร์ว่าเขาแทงลูกสาวตายที่ร้าน และจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายตาม
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบนายฮิเดกิแขวนคอตายใกล้กับแม่น้ำในเมืองไซตามะ ทางตอนเหนือของโตเกียว นายฮิเดกิออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้าวันเสาร์ ขณะที่อิบุกิซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้องชายของเธอออกจากบ้านไปทำงานพาร์ทไทม์ในตอนเช้า แต่ก็เธอก็ไม่มีโอกาสกลับมาที่บ้านอีกเลย
สวิตเซอร์แลนด์ คว้าแชมป์ ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ ไทยร่วงเหลืออันดับ 22
จากการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ โดยเอชเอสบีซีโฮลดิงส์ (HSBC Holdings plc) ปีนี้ สวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการจัดเป็นอันดับ 1 ที่น่าเข้าไปทำงานและใช้ชีวิตที่สุด โดยมีการสำรวจจากทั้งหมด 33 ประเทศทั่วโลก โดยโค่นแชมป์เก่าอย่าง สิงคโปร์ ที่ร่วงลงไปอันดับ 2
ส่วนประเทศไทยนั้น ร่วงลง 3 อันดับจากปีที่แล้วมาอยู่ในลำดับที่ 22 จากอันดับ 19 เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน ไทยยังตามหลังสิงคโปร์ (อันดับ 2) เวียดนาม (อันดับ 10) และมาเลเซีย (อันดับ 16) แต่ก็ยังนำประเทศในเอเชียอื่นๆ อย่าง ฟิลิปปินส์ (อันดับ 24) และอินโดนีเซีย (อันดับ 31)
การสำรวจนี้มีการประเมินจากหลายตัวแปรเปรียบเทียบกัน เช่น การสร้างรายได้ และเสถียรภาพในการมาใช้ชีวิต รวมถึง ความก้าวหน้าในอาชีพ ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว การประกันสุขภาพ การยอมรับในความคิดเห็นของผู้อื่น และการสร้างมิตรภาพใหม่
ซึ่งจากผลสำรวจนี้ ชี้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่ตั้งของบริษัทที่หลายหลาก อย่างบริษัทซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทยาขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีอัตราเงินเดือนค่อนข้างสูง ส่งผลให้ชาวต่างชาติอยากมาใช้ชีวิตที่นี่จำนวนมาก
จากเหตุกราดยิงในห้างวอลมาร์ท ในเมืองเอลปาโซ รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 20 รายและบาดเจ็บอย่างน้อย 26 ราย หนึ่งในกลุ่มผู้เสียชีวิตนี้เป็นคุณแม่วัย 25 ที่สละชีวิตเอาร่างของตัวเองบังกระสุนให้ลูกน้อยวัยเพียง 2 เดือน
แม่หัวใจเพชรรายนี้มีชื่อว่า จอร์แดน แอนชอนโด โดยเธอกำลังไปเลือกซื้อของกับลูกน้อยขณะเกิดเหตุ หลังเกิดสะเทือนใจเกิดขึ้น น้องสาวของเธอคือ ลีตา แจมโลว์สกี วัย 19 ปี เล่าว่า เด็กน้อยปลอดภัยดี มีอาการบาดเจ็บเฉพาะเรื่องกระดูกหัก โดยดูจากลักษณะการบาดเจ็บ น่าจะมาจากการที่ผู้เป็นแม่ทับเพราะพยายามเอาตัวบังกระสุนให้ ที่เด็กน้อยรอดมาได้ ก็เพราะผู้เป็นแม่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเขานั่นเอง
จอร์แดน เป็นคุณแม่ลูกสาม และตามรายงานระบุว่า แอนเดรย์ ผู้เป็นสามีของจอร์แดน ก็ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิตในเหตุกราดยิงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ญาติได้รอติดตามข่าวการรอดชีวิตของแอนเดรย์ แต่ก็ได้รับการยืนยันที่น่าสลดใจ
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป